![]() |
|||||||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
|||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
|
ต้นเหตุหูเสียไม่ใช่แค่ฟังดัง.......รู้แล้วจะสยอง ในอดีตก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าต้นเหตุของหูหนวก(เสีย)เกิดจากการฟังเสียงที่ดังเกินไป ทั้งการฟังอย่างชั่วครู่ชั่วยาม และฟังแช่ไปนานๆ การฟังเสียงดังเกินไป ในระดับมากกว่า 120 Db SPL ถือว่าน่ากลัวแล้ว ความดังระดับนี้เทียบเท่าพอๆกับไปยืนที่ทางวิ่งสนามบิน และมีเครื่องบินเจ็ตบินขึ้นผ่านศีรษะเราไปเรียกว่าหูอื้อกันเลยอาจไม่หูหนวกทันทีอย่างถาวร แต่ถ้าดังกว่า 140 Db SPL ถือว่าอันตรายมาก มีสิทธิ์หูหนวกถาวรได้เลย โดยอาจไม่เกิดทันทีทันใด อาจรู้สึกมีเสียงงิ้งๆในหูแช่อยู่ ตื่นนอนตอนเช้าก็พบว่า โลกนี้เงียบสนิท คือหูหนวกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างถาวร อันตรายมากที่ปัจจุบันในวงการเครื่องเสียงรถยนต์มีการแข่งการจัดชุดเครื่องเสียงที่ให้ความดัง(SOUND PRESSURE LEVEL หรือ SPL )มากขึ้นๆจาก 125 dB SPL จนล่าสุดทะลุ 184 dB SPL (ลงทุนกันที่ 5 – 6 ล้านบาท/ชุด) ซึ่งที่ระดับ 184 dB SPLกำลังอัดอากาศในเสี้ยววินาทีที่เปิดเสียง(ชั่วแว้บเดียว,เขาวัดกันแค่นั้น ที่อยู่ภายในรถ สามารถฉีกแผ่นกระดาษพิมพ์ดีดธรรมดาให้กระจายกระจุยเป็นเศษๆได้ชั่วพริบตา! ถ้าคนอยู่ก็มีสิทธิตายได้ ที่จริงเอากันแค่ 125 dB SPL ก็ถือว่าเหลือๆแล้วไม่รู้จะเอามากกว่านี้ไปทำไม ในทางการแพทย์ กำหนดกันว่าแม้ความดังเสียงที่ระดับประมาณ 80 – 86 dB SPL ถือว่าไม่ก่อให้เกิด อันตรายทันทีทันใด แต่ถ้าต้องฟังไปนานๆวันแล้ววันเล่าเช่น ในโรงงานตีเหล็ก,ประกอบเครื่องจักร ฯลฯ ก็มีสิทธิทำให้หูเสียถาวรได้ ในบ้านอยู่ทั่วๆไป ระดับเสียงรบกวนน่าจะอยู่แถวๆ 60 – 70 dB SPL ซึ่งถือว่า สงบพอรับได้ ไม่น่า รำคาญเท่าไรเช่นพวกคอนโด,บ้านที่อยู่ใกล้ถนน,ทางด่วน ในห้องสมุดน่าจะอยู่แถวๆ 27 – 30 dB SPL เครื่องปรับอากาศ(เฉพาะส่วนพ่นลมในห้องหรือ FAN UNIT )จะอยู่ที่ 27 – 32 dB SPL (ที่ความเร็วลมต่ำสุด LOW)ซึ่งถือว่าพอไหว อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกว่าเสียงนั้นดังจนน่ารำคาญไม่ใช่ขึ้นอยู่กับระดับหรือปริมาณ(SOUND LEVEL) อย่างเดียว หากยังขึ้นอยู่กับว่า
ในอดีตคนที่มีปัญหาหูตึง,หูเสีย,หูหนวก มักเกิดจากอายุที่มากขึ้น พวกคนแก่คนเฒ่า แต่ปัจจุบันไม่กี่ปีมานี้เราพบว่าจำนวนของคนหูตึง,หูเสียกลับไม่เฉพาะคนแก่อีกต่อไป ชาวอเมริกันเกือบ 50 ล้านคน หูหนวกถาวร ในจำนวนนี้มีเด็ก 12- 15 % จากสาเหตุไม่ใช่เรื่อง อายุ แต่เป็นการได้รับเสียงรบกวนในแต่ละวัน ในชีวิตประจำวันธรรมดานี่เองมันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องยอมรับโดยดุษฎี สาเหตุก็คือ การได้รับเสียงรบกวน(NOISE)เกินความปลอดภัย แม้ว่าจะมีกฎระเบียบเรื่องความปลอดภัยจากเสียงรบกวนภายในโรงงานที่ออกโดยรัฐบาลต่างๆ แต่มีรัฐบาลน้อยมากที่จะมุ่งเตือนประชาชนเรื่องอันตรายจากเสียงรบกวน(NOISE)รอบๆตัวในชีวิตประจำวัน ไม่ว่า จากเครื่องเสียงพกพา(ด้วยหูฟัง(HEAD PHONE)),จากฟังเพลงผ่านโทรศัพย์มือถือ,จากTABLET,จากการดูโชว์, คอนเสิร์ท(สด,สถานเริงรมย์),จากที่เป่าผม, ไซเรนจากสารพัดรถฉุกเฉิน(รถพยาบาล,ป่อเต็กตึ้ง,ร่วมกตัญญู,รถตำรวจ),จากที่ดูดฝุ่น,เครื่องตัดหญ้า,ที่ปั่นน้ำผลไม้,ปั๊มน้ำ,เสียงแตรรถ(รถสิบล้อ,รถทัวร์),ตู้เกมส์(ตามห้างที่มีเป็นสิบๆตู้),ของเด็กเล่นที่ส่งเสียงได้(บางชิ้นให้ระดับเสียงดัง 90 dB),ในคลับหรือภัตตาคาร,ฟู้ดคอร์ทตามห้าง ฯลฯ เครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนี้มักให้ระดับเสียงรบกวนสูงถึง 85 dB ซึ่งอยู่ในข่ายอันตรายเมื่อฟังไป เรื่อยๆต่อเนื่องไปนานๆ ที่อันตรายที่สุดก็คือ พวกฟังเพลงจากหูฟังซึ่งมักเปิดกันดังสนั่น(ภายในหูและบ่อยครั้งที่รั่วออกมารบกวนผู้อื่นน่าจะมีกฎหมาย) พวกนี้เปิดดังระดับพอๆกับเสียงเครื่องบินไอพ่นเชิดหัวขึ้นจากลานบีนทีเดียว เสียง ที่เข้าสู่หูของเรา จะไปสั่นเยื่อแก้วหู(EAR DRUM)แล้วส่งต่อไปยังแผงเซลล์ขน(COCHLEA)ของหูชั้นใน เซลล์ขนเหล่านี้จะส่งคลื่นไฟฟ้าไปบอกประสาทรับรู้ด้านเสียงที่สมองอีก ที(AUDITORY)เสียงที่ดังมากๆหรือแม้จะไม่ดังมากแต่ดังพอและอย่างต่อเนื่อง จะไปทำให้เซลล์ ขน(HAIR)เหล่านี้เสียระเบียบยุ่งเหยิงและถึงขั้นเสียหายอย่างถาวรได้(ร่างกายสร้างซ่อมเซลล์ขน เหล่านี้ไม่ได้)เราก็จะสูญเสียการได้ยินอย่างถาวร โดยจะเกิดกับกลุ่มเซลล์ขนที่รับรู้ความถี่สูงๆก่อนจากนั้นจะกินลงมาที่ความถี่กลางๆ(เสียงพูด) ในเรื่องของเครื่องไฟฟ้าที่ส่งเสียงดังและเราต้องอยู่ชิดติดมันขณะใช้งาน ก็ให้หาอุปกรณ์ป้องกันมาสอดรูหู,ครอบหู(แม้แต่ตอนเป่าผม,ตัดหญ้า ฯลฯ) จากการรวบรวมสถิติปี 2006 ของ AMERICAN SPEECH-LANGUAGE-HEARING ASSOCIATION พบว่าในหมู่ผู้ที่ใช้หูฟังกับเครื่องเสียงพกพา เป็นผู้ใหญ่ 35 % และเป็นเด็กถึง 59 % ที่ฟังกันที่ระดับเสียงดังเกินไป บ่อยๆที่นักฟังเครื่องเสียงพกพาพวกนี้จำต้องเร่งวอลลูมสูงมาก ก็เพื่อเอาชนะและกลบเสียงรบกวนจากภายนอก ทางที่ปลอดภัยของการใช้งานคือ ควรหามี่เงียบสงบแล้วลองเร่งวอลลูมดูจนรู้สึกว่ามันดังเกินไปแล้ว ก็จำตำแหน่งการเร่งวอลลูมนั้นไว้เพื่อว่าเวลาอยู่กับเสียงรบกวนจะไม่เร่งวอลลูมเกินขีดที่เช็คเอาไว้ก่อนนั้นหรือไม่ก็หาหูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวนที่ดี ไม่ว่าแบบ PASSIVE คือปิดผนึกตัวเองกันเสียงรบกวนจากภายนอก(ISOLATION)เช่นพวกครอบใบหู, แบบแยงรูหู(IN EAR หรือ EARBUD) หลีกเลี่ยงแบบแปะหู,เปิดห้องระบายอากาศ อีกแบบคือแบบ ACTIVE ใช้วงจรอีเล็กโทรนิกส์บวกกับไมโครโฟนจิ๋วในการทำซ้ำเสียงรบกวนจากภายนอกที่รั่วเข้าไปในหูฟังแล้วสร้างสัญญาณเสียงหักล้างกันเอง(เรียก NOISE CANCELLATION) ซึ่งที่วางจำหน่ายแม้จะมีราคาสูงกว่าปกติ 50 – 100 % แต่ก็คุ้มค่าต่อความปลอดภัยต่อหู เพราะไม่ต้องเร่งวอลลูมดังมาก แต่ก็ต้องระวังไม่ใช้งานขณะเดินอยู่ตามถนนเพราะอาจจะไม่ทันสังเกตเสียงเตือนอันตรายจาดภัยนอกได้ รวมทั้งคุณภาพเสียงจะลดลงบ้าง สาเหตุของหูเสีย ล่าสุดที่นึกกันไม่ถึงหรือยังไม่มีใครพูดถึงเลย(แม้แต่คนเดียว)ก็คือ หูเสียจากการฟังเสียงที่คุณภาพต่ำ(ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงดังๆหรือฟังแช่นานๆ)
ขณะเดียวกัน สุ้มเสียงที่ไม่ชัดเจนเช่นความถี่ตอบสนองไม่ราบรื่น ,บางความถี่โด่ง,บางความถี่เสียงตก แถมความถี่ที่เป็นปัญหาเหล่านี้ก็ขยับความถี่เลื่อนไปมาตามความดังของเสียงขณะนั้นๆ(คือ วอกแวก,ไม่นิ่ง,คุ้มดีคุ้มร้าย)จะทำให้แผงเซลล์เส้นขนเหล่านั้นต้องทำงานคอยช่วยชดเชย(การตก-เกิน)ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จบสิ้นจนหูล้า,เจ็บ เสียงที่คลุมเครือ ทื่อๆ ไม่คมชัด ขาดรายละเอียด หยุมหยิม ขาดความสด จะสร้างความสับสนแบบองค์รวมของ 2 กรณีแรกที่กล่าวไปแล้ว อีกทั้งระบบประสาทการได้ยินจะต้องทำงานหนักมากเพื่อประมวลผลว่าเสียงที่ได้ยินเหล่านั้นคืออะไรแน่ สมองจะอ่อนล้า ลดความแม่นยำของระบบควบคุมแก้วหูและแผงเซลล์ขน ทำให้มันทั้งสองต้องทำงานหนักขึ้นอีก เสียงซ้าย-ขวา ที่มีปัญหา ผลักดันมวลอากาศกลับทิศทางกัน(กลับเฟส) จะทำให้ฟังโหว่งๆ อั้นๆ อื้อๆ สมองจะสับสน เกิดความเครียดที่เยื่อหูและประสาท ในการใช้หูฟัง อย่าลืมตรวจดูว่า ด้านไหนซ้าย ด้านไหนขวาด้วย(มีผลต่อมิติและสุ้มเสียง) ผลของอาการเหล่านี้ปรากฏกับผู้เขียนเองในอดีตสมัยไม่มีห้องฟังของตนเอง แม้ปัจจุบันถ้าต้องการฟังเครื่องเสียง(ไม่ว่าเป็นอะไร)ที่ไม่สมบูรณ์พอ ก็จะรับรู้ปัญหานั้นได้ทันที ส่วนหนึ่งจากการเกิดอาการไม่ดีดังกล่าว เทียบกับที่เคยฟังสุ้มเสียงที่ครบสมบูรณ์กว่ามาก่อน เพื่อนของผู้เขียนเองยิ่งแล้วใหญ่ แกมีอาการหนักหนาสาหัสกว่าผู้เขียนมาก ทุกครั้งที่ได้ฟังเครื่องเสียงที่เสียงแย่ๆ(มีปัญหา)แม้จะไม่ได้เปิดดังอะไรเลย และฟังแค่ไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ นี่อาจเป็นตัวอธิบายได้ในอีกมุมมองหนึ่งว่า ทำไมเครื่องเสียงที่เสียงแย่ๆแม้เราไม่เร่งดังอะไรเลยแต่ทำไมกลับรู้สึก “หนวกหู”, “รำคาญหู”(ซึ่งถ้าคงอาการนี้ไว้นานๆ บ่อยๆ เชื่อว่าจะทำให้หูเสีนเช่นกัน) เครื่องเสียงที่แย่ๆอุบาทว์หูนั้นเพราะมีความเพี้ยนสูงนั่นเอง เช่นเดียวกัน พวกเครื่องเล่นเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดที่บางชิ้นแม้จะดูเผินๆก็ไม่ได้ดังตูมตามมากมายอะไร แต่ทำไมทำให้หูเสียได้ ก็เพราะมันส่งเสียงที่อุบาทว์หู เสียดแทง เต็มไปด้วยความเพี้ยนนั่นเอง สรุป ขอให้ระลึกและมาทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า หูเสีย ไม่จเป็นต้องเกิดจากระดับเสียง,ระยะเวลาการฟังแช่ต่อเนื่องอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเสียงนั้นๆด้วย เรื่องน่าคิดต่อไปก็คือ การใช้โทรศัพท์มือถือที่แทบทั้งหมดรับฟังด้วยหูข้างเดียว(หูขวา) จะมีผลต่อการเคยชิน(MEMORY EFFECT)ของแผงเซลล์ขนของหูซีกซ้ายและขวากับเซลล์กล้ามเนื้อแก้วหู ที่นานๆจะเกิดการเคยตัว ที่ต่างบุคลิกกันความ “แม่นยำ”ในการฟังปกติ เมื่อกลับมาฟังด้วย 2 หูจึงเสียความสมดุลไป ปัญหานี้จะเกิดกับนักร้อง,วาทยกร,นักดนตรีบนเวทีคอนเสิร์ตที่ใช้หูฟังข้างเดียวด้วยหรือเปล่า
www.maitreeav.com |